ขยายสาขาอย่างไร ให้ตอบโจทย์เดลิเวอรี่ ค่าส่งถูกลง ได้ลูกค้ามากขึ้น

25 ม.ค. 2565
การขยายสาขาเป็นอีกทางที่ตอบโจทย์เดลิเวอรี่ เพราะการขยับร้านเข้าไปใกล้ลูกค้ามากขึ้นเท่าไหร่ ค่าส่งที่ลูกค้าต้องจ่ายก็จะถูกลงตามไปด้วย ช่วยกระตุ้นการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ได้เป็นอย่างมาก เป็นการขยายฐานลูกค้าของร้านให้กว้างขึ้น และเพิ่มยอดขายโดยรวมของธุรกิจ แต่...จะทำอย่างไรให้ยอดขายเดลิเวอรี่คุ้มค่ากับการขยายสาขาซึ่งต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก วันนี้ MHA มีคำตอบ
songprapha.png 2.01 MB

1.      จะขายเดลิเวอรี่ ต้องเลือก Location ให้ตอบโจทย์เดลิเวอรี่
ปกติเราจะเลือกทำเลเปิดร้านใหม่ โดยพิจารณาจากจำนวนกลุ่มเป้าหมายที่หมุนเวียนผ่านไปมา จำนวนผู้พักอาศัยหรือทำงานอยู่รอบบริเวณนั้น ซึ่งเรามักจะพิจารณาทำเลที่มีกลุ่มเป้าหมายหนาแน่นในระยะรัศมีไม่เกิน 0-5 กิโลเมตรจากร้าน เพราะเราขายอาหารโดยพึ่งพาการมานั่งกินที่ร้านเป็นหลัก แต่ถ้าเป้าหมายของการขยายสาขาคือต้องการเพิ่มยอดขายเดลิเวอรี่ให้สูงขึ้น ให้เราลองขยายรัศมีในการพิจารณาเลือกทำเลตั้งร้าน จากเดิมรัศมี 5 กิโลเมตร เป็น 10 กิโลเมตรรอบร้านแทน  เพราะลูกค้านิยมสั่งอาหารเดลิเวอรี่กับร้านที่อยู่ห่างออกไปไม่เกิน 0-10 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะที่ค่าส่งยังไม่แพงและใช้เวลาจัดส่งไม่เกิน 30-45 นาที (สำหรับเขตกรุงเทพฯและเมืองที่การจราจรหนาแน่น) ถ้าไกลกว่านี้ลูกค้าจะจ่ายค่าส่งไม่ไหว รวมถึงไรเดอร์เองก็ไม่ปลื้มจนไม่อยากกดรับงานร้านเรา ดังนั้น การเลือกโลเคชั่นร้านจะต้องคำนึงถึงความสะดวกของไรเดอร์ที่จะเข้ามารับอาหารที่ร้านด้วย และควรหาโลเคชั่นที่สามารถกระจายสินค้าได้ง่าย ดังนี้ 
·         ติดถนน จะเป็นถนนใหญ่หรือถนนเมนที่เข้าถึงง่ายก็ได้ ถ้าอยู่ในซอยต้องไม่ลึกเกินไป อยู่ใกล้หรืออยู่ปากซอยไปเลยยิ่งดี
·         มีทางเข้าออกได้หลายทาง ถ้าสามารถเชื่อมไปยังถนนหลักหลายสายได้จะดีมาก ยกตัวอย่าง ถนนสรงประภา ที่สามารถออกไปยังเส้นวิภาวดี ครอบคลุมเขตดอนเมือง อีกด้านไปรังสิต นนทบุรี และแจ้งวัฒนะได้ ทั้งลูกค้าและไรเดอร์สามารถเดินทางมาได้หลายทาง
·         มีพื้นที่ให้พักคอยและจอดมอเตอร์ไซร์ เนื่องจากเป็นยานพาหนะหลักของการส่งอาหาร ควรมีที่พอให้จอดได้ 1-5 คันพร้อมกัน และต้องมีพื้นที่นั่งคอย เพราะไม่ใช่ว่าอาหารจะสามารถออกได้เร็วทุกเมนู ต้องมีการนั่งรออย่างแน่นอน 
 
เมื่อพิจารณาแล้วจะพบว่าโลเคชั่น “ปั๊มน้ำมัน” น่าสนใจมาก โดยเฉพาะปั๊มน้ำมันที่มีคนเข้าเยอะหรืออยู่ใกล้ชุมชน เพราะปั๊มเหล่านี้มักจะอยู่ในเส้นทางสัญจร อยู่ในจุดที่เข้าถึงง่าย มีที่จอดรถ มีห้องน้ำและร้านสะดวกซื้อ ซึ่งไรเดอร์มักจะมาแวะพักกันเสมอ 
            หรือถ้าจะลองหาเช่าตึกเปิดสาขาใหม่ ในแหล่งชุมชนมีลูกค้าเข้าถึงเป็นจำนวนมาก โดยเปิดแบบขายหน้าร้านเอาไว้รับลูกค้าที่อยู่ใกล้ และขายอาหารเดลิเวอรี่ไปพร้อมกันเลย ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ 
 
mhajap.jpg 61.54 KB
2. ทำหน้าร้านให้เหมาะกับการเน้นขายเดลิเวอรี่ 
ร้านแบบไหนที่เหมาะกับการขายเดลิเวอรี่? จากกรณีศึกษา บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) เจ้าของร้านอาหาร ZEN AKA ตำมั่ว ลาวญวณ ซึ่งประสบปัญหาในการขายเดลิเวอรี่จากปัจจัยหลักดังนี้
 
          1.ลักษณะของอาหารไม่เหมาะกับการขายเดลิเวอรี่ เพราะเป็นร้านที่ออกแบบมาสำหรับการทานอาหารในร้านโดยเฉพาะ ตัวอาหารจึงไม่เหมาะกับการจัดส่ง เช่น ซูชิ ของร้านZEN หรือ บุฟเฟต์ปิ้งย่างของร้านAKA ในขณะที่บรรจุภัณฑ์ของร้านก็ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อจัดส่งเช่นกัน
          2.โลเคชั่นไม่เอื้ออำนวยในการขายเดลิเวอรี่ โลเคชั่นร้านทั้งหมดอยู่บนห้างสรรพสินค้า ซึ่งไรเดอร์เข้าถึงได้ยาก ที่ตั้งไม่เอื้อต่อการจัดส่ง ไหนจะแบกต้นทุนค่าเช่าสถานที่(ห้างสรรพสินค้า) และต้องเจอกับค่า GP ในการจัดส่งอีก 
 
          เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป แก้เกมด้วยการปั้นธุรกิจร้านอาหารใหม่ชื่อ “เขียง” เน้นการขายเดลิเวอรี่ โดยร้านถูกกำหนดมาตั้งแต่วันแรกแล้วว่า ยอดขาย 50% จะต้องมาจากเดลิเวอรี่ ไม่เน้นนั่งกิน โดยเลือกขายอาหารสตรีทฟู้ด ที่ใช้วัตถดิบคุณภาพดี ในราคาที่ลูกค้าเข้าถึงได้ ทำเลต้องอยู่ในจุดที่ลูกค้าเข้าถึงได้เป็นจำนวนมาก และไรเดอร์สามารถรับ-ส่งอาหารได้ง่าย
            ปัจจุบัน “เขียง” ถือว่าประสบความสำเร็จมาก จนสามารถขยายสาขาได้ 85 สาขา ภายใน 2 ปี และวางแผนจะขยายให้ครบ 100 สาขาในไม่ช้า (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ “วิธีสร้างแบรนด์สตรีทฟู้ดเดลิเวอรี่ของ ‘เขียง’ ขยายสำเร็จกว่า 80 สาขา ในระยะเวลา 2 ปี”
            กลยุทธ์ที่น่าสนใจของ “เขียง” คือ ทางร้านจะเน้นพื้นที่ทำอาหารหรือครัว โดยมีโต๊ะสำหรับนั่งกินไม่มากนัก เลือกทำเลในจุดยุทธศาสตร์ เน้นตึกแถวใกล้หมู่บ้านจัดสรร ใกล้คอนวิเนียนสโตร์ หรือเช่าร้านในปั๊มน้ำมัน ซึ่งค่าเช่าถูกกว่าในห้างสรรพสินค้าหลายเท่าตัว และยังสะดวกสำหรับไรเดอร์ที่จะมารับสินค้า ช่วยให้ส่งอาหารได้ภายใน 30-45 นาที คิดค้นและผลิตซอสสูตรเฉพาะของร้าน เพื่อควบคุมรสชาติให้ใกล้เคียงกันทุกสาขา พัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะกับการเดลิเวอรี่ เข้าไมโครเวฟได้ เก็บความร้อนได้ดี ถือกินได้ง่าย และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
 
Tip : สำหรับร้านที่จะขายเดลิเวอรี่ พื้นที่สำคัญคือครัว ต้องจัดครัวให้Flow เรียงลำดับการทำงานให้ดี ตั้งแต่กระบวนการรับออเดอร์ การเตรียมวัตถุดิบ การปรุง จนถึงการบรรจุลงบรรจุภัณฑ์ Flowของครัวสำคัญมาก จะทำอาหารส่งช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับFlowเป็นสำคัญ ลองศึกษาการปรับปรุงครัวให้เหมาะกับเดลิเวอรี่จากกรณีตัวอย่างร้าน Rhythm & Shabu กับ MHA Advice ปั้นธุรกิจสู่มืออาชีพ คลิก=> Rhythm & Shabu
shutterstock_1720760002.jpg 2.91 MB
3. เช่า Cloud Kitchen เพิ่มทำเลขายเดลิเวอรี่ 
Cloud Kitchen คือ ครัวรวมที่เปิดให้เช่าทำอาหารขาย ลองนึกถึงฟู้ดคอร์ดหรือโรงอาหารที่มีร้านหลายร้านมาเช่าขายอาหาร แต่จะขายผ่านเดลิเวอรี่เท่านั้น โดยที่ Cloud Kitchen จะจัดเตรียมพื้นที่ครัวและสิ่งอำนวยความสะดวกที่สำคัญต่อการขายอาหารเดลิเวอรี่ไว้ให้เราแล้ว ซึ่งเหมาะมากสำหรับธุรกิจที่อยากขยายพื้นที่การขายเดลิเวอรี่ไปยังทำเลใหม่ แต่ไม่อยากทำร้านเพิ่มอีกสาขาเพราะงบประมาณจำกัด 
 

ตัวอย่าง Cloud Kitchen และข้อมูลที่น่าสนใจ
ภาพจาก https://cloudkitchenbangkok.com/
·         Cloud Kitchen Bangkok ให้บริการ Cloud Kitchen ครบวงจร ด้วยการให้เช่าห้องครัวและอุปกรณ์ทำครัว เพียงแค่เช่าพื้นที่ก็ส่งพนักงานเข้าไปทำอาหารได้เลย มีบริการเดลิเวอรี่ในตัว โดยจัดส่งในพื้นที่สุขุมวิทและจัดส่งฟรีในระยะ 3 กิโลเมตรจากครัว และสามารถจัดส่งอาหารให้ลูกค้าในย่านนี้ในเวลา 15-20 นาที ครอบคลุมโซนเอกมัย ทองหล่อ อโศก สุขุมวิท71 ซึ่งเป็นย่านที่อยู่อาศัยและสำนักงานจำนวนมาก และเป็นย่านธุรกิจที่สำคัญ การเช่า Cloud Kitchen ที่นี่ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับร้านที่อยากลอง “ขยับ” เข้าไปใกล้กลุ่มลูกค้าสุขุมวิท โดยไม่ต้องใช้เงินมากนัก เพราะถ้าจะเช่าตึกเปิดร้านในย่านนี้ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก จากราคาที่ดินที่สูงลิบ

·         GrabKitchen คือ Cloud Kitchen ที่รวบรวมร้านอาหารยอดนิยมชั้นนำมาไว้ในที่เดียวกันและทำอาหารเพื่อจัดส่งผ่าน GrabFood โดยเฉพาะ ดังนั้น GrabKitchen จึงมีความได้เปรียบตรงที่มีฐานลูกค้าที่ใหญ่มากจากบริการเดิมที่บริษัทมีอยู่ ปัจจุบันครอบคลุมการจัดส่งในพื้นที่ ตลาดสามย่าน ทองหล่อ ลาดพร้าว ปิ่นเกล้า สาทร และนาคนิวาส โดยที่ลูกค้ามาสามารถเลือกสั่งอาหารที่เข้าร่วม GrabKitchen ได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 22.00 น. ภายในรัศมีส่ง 8 กิโลเมตร ข้อดีของ GrabKitchen คือ ไม่มีการคิดค่าบริการสำหรับพื้นที่ทำครัว ซึ่งอุปกรณ์ทำครัวรวมไปถึงตู้เย็นร้านค้าจะต้องเป็นคนดูแลเอง 
สำรวจหัวข้อเพิ่มเติม
ขยายสาขาร้านอาหารเดลิเวอรี่ธุรกิจร้านอาหารExpansionRestaurantDeliveryRestaurant Business

Keep reading

รับแรงบันดาลใจจากเนื้อหาสำหรับร้านอาหาร

ดูบทความทั้งหมด
คุณสนใจหมวดหมู่ใด